
แนะคนไอทีอย่าท้อกับปีหมูทอง
โอกาสยังมีหากก้าวถูกทาง ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีกับงานสัมมนาประจำปีหัวข้อ “ICT – I SEE U มองปัญหาผ่าวิกฤตเพื่อชีวิตคนไทย” ที่ ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอทีพีซี ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. จัดขึ้น เพื่อให้สมาชิกและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไอซีทีเมืองไทย ได้มาร่วมกันสะท้อนภาพรวมที่เห็น รวมถึงแนะนำปัญหาที่เกิดขึ้น และเสนอแนะทางออกร่วมกันอันจะนำไปสู่ การหาทางรอดที่ทุกฝ่ายสามารถเลือกได้เองตามความสามารถ ทั้งนี้ บนเวทีเสวนา “ทางเลือก ทางรอดไอทีไทย” มีหลายเรื่องที่ถูกหยิบยกมาจากภาพรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ทำไมธุรกิจไอทีเงียบไป ทำไม่ไม่มีการสนับสนุนนักพัฒนาซอฟต์แวร์เหมือนที่ผ่านมา แล้วซอฟต์แวร์เฮ้าส์ไทยในช่วงวิกฤตแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน แผนแม่บทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปถึงไหน ทำอะไรไปแล้วบ้าง ใครรับผิดชอบ แล้วถ้าไม่มีใครจะมาทำ ทิศทางในอนาคตไอซทีทีเมืองไทยจะไปจุดไหน กลายเป็นคำถามที่ต้องตอบสำหรับวิทยากร แต่ละท่านที่มาจากคนละฟากธุรกิจ และอยู่ในวงอุตสาหกรรมเดียวกัน นายมนู อรดีดลเชษฐ์ กรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความเห็นในฐานะอดีตผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การหมาชน) หรือ ซิป้า ว่า ที่ผ่านมาซอฟต์แวร์เฮ้าส์คนไทยจาก 1,000 กว่าบริษัท มีล้มหายไปก็ประมาณ 8-9% หรือเกือบ 100 บริษัท แม้ปีนี้เป็นปีที่ค่อนข้างลำบาก แต่ก็ไม่น่ากลัวมากนักสำหรับธุรกิจซอฟต์แวร์ เพราะธุรกิจไอทีและซอฟต์แวร์แปรผันตาม สภาพเศรษฐกิจอยู่แล้ว เชื่อว่าหลังจากมีการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่แล้ว สภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้น ดังนั้นก็น่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจซอฟต์แวร์ กก.พัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ สวทช. ให้ความเห็นต่อว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการหยุดกับที่ไม่มีการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ให้สอดรับกับกระแสของโลกาภิวัฒน์ที่เปลี่ยนแปลงไป อนาคตบริษัทที่หยุดการพัฒนาจะตายภายใน 3-5 ปี เรื่องนี้ผู้ประกอบการและภาครัฐต้องรับรู้ และตระหนักให้ดี อยากให้มองว่าประเทศไทย ขณะนี้ อัตราคอมพิวเตอร์ต่อประชากรยังน้อยมาก จำเป็นที่ต้องพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับคนรากหญ้า ดูจากที่นายบิล เกตส์ ประธานไมโครซอฟท์ ระบุว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้พีซีอีก 1,000 รายในเวลา 8 ปีจากนี้ ทั้งนี้เมืองไทยกลุ่มที่น่าจะเป็นโอกาสให้กับซอฟต์แวร์เฮ้าส์ไทย คือ กลุ่มเอสเอ็มอี เพราะเขาไม่เคยได้ประโยชน์จากระบบไอทีเลย “ทางรอดของซอฟต์แวร์ไทยอาจจะอยู่ที่การพัฒนาโอเพนซอร์ส ที่นับวันจะมีคนเอามาทำเป็นแอพลิเคชันมากขึ้น กลายเป็นเทรนด์ใหม่นั้น คือ Software is a Service ตัวโปรแกรมให้ฟรีแต่ขายบริการ หรือจัดอบรมแทน ถือว่ากระทบกับธุรกิจซอฟต์แวร์ไทยที่ขายไลเซนส์แน่นอน และหากตรงนี้แรงขึ้นมาจริงซอฟต์แวร์ไทยอาจไม่มีที่อยู่ ทางออกที่สดใสอาจจะต้องเปลี่ยนมาพัฒนาซอฟต์แวร์เว็บเบส เทคโนโลยี เช่น เอแจ็กซ์ ที่เป็นซอฟต์แวร์ทำเว็บไซต์มาเป็นโปรแกรมด้านธุรกิจ หรือการที่กูเกิล มี ”กูเกิล เว็บ ทูลล์ คิต” ทำให้ผู้ใช้งานทำงานแบบเคลื่อนที่ได้มากขึ้น เพราะมีทั้งโปรแกรมเอกสาร สเปรดชีทบนอินเทอร์เน็ต” นายมนู กล่าว กก.พัฒนาวิทยาศาสตร์ฯ สวทช. ให้ความเห็นอีกว่า ทางออกและการอยู่รอดที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ความพร้อมของภาคการศึกษาในการผลิตบุคลากรมารองรับ คงต้องรอให้ภาครัฐในการหาทิศทางเทคโนโลยีที่เรายังอ่อน บางเรื่องที่เป็นของเล็กๆ เอกชนอาจทำกันเองได้ แต่หากเป็นเรื่องใหญ่เอกชนทำไม่ไหว ภาครัฐก็ต้องออกโรงทำเองให้ดูก่อน แล้วค่อยให้เอกชนทำ3 ปีแรกที่ตนอยู่ซิป้า ก็โดนด่ากับการสร้างระบบขับเคลื่อนธุรกิจ และเทรนด์ของซอฟต์แวร์แต่ต้องทำ แม้แต่เรื่อง E-Government อยากแนะให้มองเป็นส่วนๆ ไม่ใช้งานใหญ่มูลค่าพันล้าน ต้องจำว่าเรื่องนี้ คือ การที่หน่วยงานรัฐนำเอาเทคโนโลยีเว็บมาใช้งานข้อมูลร่วมกัน ทั้งนี้ความอยู่รอดของธุรกิจซอฟต์แวร์ ที่น่ากังวลอยู่ที่ เราจะรอรับเทรนด์เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้อย่างไร ด้าน นายดิลก คุณะดิลก กรรมการสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) ให้ความเห็นว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมไอซีทีของเมืองไทย ส่วนหนึ่งมาจากการขาดแผนการดำเนินการแม้ เมื่อก่อนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะเคยได้จัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที 2 ฉบับอันแรกเริ่มตั้งแต่ปี 2545 – 2549 และฉบับที่ 2 จะเริ่มตั้งแต่ปี 2550 – 2554 ขณะนี้ ฉบับที่ 2 ยังไม่ถูกนำมาใช้เพราะติดปัญหาทางเทคนิค ขณะที่ฉบับที่ 1 ที่สิ้นสุดไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำไมไม่ช่วยให้อุตสาหกรรมไอซีทีดีขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้างก็ไม่มีใครได้รับรู้ เพราะคนที่เขียนกลับเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่มีความรู้ในด้านทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ตัวผู้ประกอบการที่ผลักดันธุรกิจโดยตรง กรรมการ เอทีซีไอ เล่าอีกว่า ทว่าจนถึงขณะนี้ กลับยังไม่มีใครรู้เรื่องแผนแม่บทฯ เลยแม้แต่น้อย เอทีซีไอได้ดำเนินการเก็บปัญหาต่างๆ มาวิเคราะห์จุดอ่อนทำให้พบว่า 1.นโยบายด้านไอซีทีของไทยขาดเป้าหมายและความต่อเนื่อง 2.จำเป็นที่ต้องทำให้ไอซีทีเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทุกกระทรวงต้องใช้ไอซีทีเหมือนกับเอกชน ต้องมีการบูรณาการฐานข้อมูลกลางเพื่อใช้ร่วมกัน ลดความซ้ำซ้อน 3.หน่วยงานที่มารับผิดชอบกลับไม่มีอำนาจ รัฐบาลต้องเป็นคนผลักดันตามวิสัยทัศน์ จะทำอะไรก็ต้องบอกเอกชนจะได้ทำตามได้ และ 4.ขาดความสามารถในการบริหารจัดการ ไม่ว่าธุรกิจใดหากบริหารจัดการไม่ดีก็มีแต่พังเท่านั้น นายดิลก ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที หรือข้าราชการ ไม่สามารถสั่งงานข้ามกระทรวงได้ ก็จะเป็นที่ต้องมีหน่วยงานกลาง มาสั่งการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน ทางรอดที่เห็นคือ 1.ต้องให้ความสำคัญด้านทรัพย์สินทางปัญญา เอามาใช้ในการชำระหนี้ได้เพื่อใช้เป็นทุนต่อยอด 2.ต้องสร้างความต้องการใช้งานไอซีทีในตลาด กระตุ้นให้เอสเอ็มอี หันมาเริ่มใช้คอมพิวเตอร์จากระบบงานง่ายๆ 3.ระบบโทรคมนาคมต้องเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล ต้องมีการแก้ไขการออกใบอนุญาตใช้งานไว-ไฟ หรือไวแม็กซ์ที่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ทั่วโลกยอมรับ กรรมการ เอทีซีไอ ให้ข้อเสนอแนะเสริมว่า 4.ส่งเสริมให้เอกชนพัฒนาการใช้ไอซีที เหมือนกับองค์กรใหญ่ เช่น ธนาคาร ระบบสาธารณูปโภค จะมารอรัฐบาลใหม่อาจไม่ทันการ เอกชนต้องเดินหน้าก่อน 5.การหนุนอุตสาหกรรมไอซีทีให้ก้าวทัน กับเทคโนโลยีที่ใช้ในธุรกิจ แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ก็ไม่ได้มีการนำเอาข้อมูลการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หากมีการสร้างคอนเทนท์ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตร ระบบการพยากรณ์อากาศที่เข้าถึงเกษตรกรได้จะดีมาก ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ เป็นโมบายคอนเทนท์ผ่านมือถือจะดีกว่า เพราะเชื่อว่าเกษตรกรก็คงมีมือถือใช้กัน ส่วน นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ให้ความเห็นว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวคิดของ อ.มนู ในการมุ่งหน้าไปยังเว็บเบส แอพลิเคชัน มิฉะนั้น บริษัท แอปเปิลคงไม่ออกผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องเล่นเพลงไอพ็อด เว็บไซต์ไอจูนส์ โทรศัพท์ไอโฟน หรือ โปรแกรมบราวเซอร์ซาฟารี ที่เปิดโอกาสในการยึดตลาดบนอินเทอร์เน็ตแน่นอน วันนี้มูลค่าของธุรกินไอซีที 80% อยู่บนเวิล์ด วาย เว็บ อาทิ มายสเปซ แนปสเตอร์ หรือ ยูทูวป์ ธุรกิจนี้อยู่เมืองนอกมีมูลค่าเป็นร้อยล้านพันล้านเหรียญสหรัฐ ถ้ามาอยู่เมืองไทยจะมีค่าเพียงใด ทางออกอันแรก คือ คนไทยต้องปรับมุมมองเกี่ยวกับอี-คอมเมิร์ซ หรือธุรกิจบริการบนอินเทอร์เน็ตใหม่ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมานโยบายไอซทีของภาครัฐดูดีแต่เปลือก เป็นผักชีโรยหน้า อาทิ การแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุนสวยหรูแต่ทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เคยจริงจัง อยู่เมืองนอกเจ้าของเว็บไซต์เอาเว็บมาเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ได้ ก็เพราะเขาแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินทางปัญญาสามารถค้าประกันเงินกู้ได้ แต่เมืองไทยทำไม่ได้แบบนี้ไม่มีวันโต ทุกอย่างต่างไปคนละทาง แม้แต่เรื่อง E-Government ที่ยังทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีงบประมาณและกำลังคนมาจัดการ ต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ที่มีการออกกฎหมายมารองรับ และมีหน่วยงานกลางเข้ามาจัดการ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ มาจากเวทีการสัมมนาที่มาช่วยหาคำแนะนำดีๆ แก่วงการอุตสาหกรรมไอซีทีไทย เพื่อให้ภาครัฐ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ เอกชน และคนทั่วไปได้รับรู้ถึงทางเลือก และทางรอดที่เป็นไปได้ ในการร่วมกันฝ่าวิกฤตทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่อะไรๆ ก็ดูจะแย่ แต่ถึงกระนั้นในความเหนื่อยยาก ก็จำเป็นต้องมีความหวัง และความอดทน อย่างที่วิทยากรได้ระบุว่า โอกาสประสบความสำเร็จยังมี แต่ต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป ไม่ก้มหน้าท้อแท้ แต่เชิดหน้าหาทางออก และร่วมกันแก้ปัญหาโอกาสทองในปีนี้ก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน... จุลดิส รัตนคำแปง itdigest@thairath.co.th